SEO vs SEM

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร? เลือกแบบไหนให้เหมาะกับธุรกิจ?

SEO vs SEM เลือกแบบไหนให้เหมาะกับธุรกิจ?

ธุรกิจออนไลน์ในยุคนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว แทบทุกธุรกิจต้องมีตัวตนบนโลกออนไลน์ และหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต คือการทำให้ลูกค้าค้นหาเจอคุณง่ายขึ้นผ่าน Google ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

การตลาดดิจิทัลมีหลายรูปแบบ แต่โดยหลักๆ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ SEO (Search Engine Optimization) และ SEM (Search Engine Marketing)  บทความนี้จะอธิบายความแตกต่างระหว่าง SEO กับ SEM และเหตุผลที่ควรใช้ทั้งสองร่วมกันเพื่อช่วยให้ธุรกิจเติบโตในโลกดิจิทัล


SEO คืออะไร?

SEO (Search Engine Optimization) ก็คือการทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับบน Google แบบไม่ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณา เป้าหมายคือ เมื่อมีคนค้นหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ คุณต้องการให้เว็บของคุณขึ้นมาอยู่บนหน้าแรก เพื่อให้ลูกค้าเจอได้ง่ายขึ้น

SEO ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของ Inbound Marketing เพราะเราไม่ได้ไปไล่ตามลูกค้า แต่ทำให้ลูกค้าเข้ามาหาเราเอง ผ่านการค้นหาสิ่งที่เขาต้องการ แล้วเจอเว็บของเราในกระบวนการนั้น

ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนเสิร์ชคำว่า “ร้านอาหารอิตาเลียนในไทย” แล้วเว็บของร้านที่เราทำการตลาดให้ขึ้นมาในหน้าแรกของผลการค้นหา นั่นถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการทำ SEO

การมีเว็บไซต์เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับในการค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดเข้ามาช่วยวางแผนและดำเนินการ SEO อย่างเหมาะสม

SEO แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก 

1. On-Page SEO

  • หาคีย์เวิร์ดให้ตรงกับสิ่งที่คนเสิร์ช
  • เขียนและปรับเนื้อหาให้ตรงกับสิ่งที่คนอยากรู้
  • การตั้งค่า Header, Title, Meta Description
  • การใส่ข้อความ ALT ให้รูปภาพ
  • โครงสร้าง URL
  • รับปรุงประสิทธิภาพการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า
  • ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้งาน UX/UI

2. Off-Page SEO

  • สร้างลิงก์จากเว็บอื่น Backlinks
  • แชร์คอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียเพื่อดึงคนเข้าเว็บ
  • เขียนบทความไปลงเว็บอื่น (guest post)
  • ทำอินโฟกราฟิก, วิดีโอ หรือบทความที่มีประโยชน์ เพื่อให้คนแชร์ต่อ
  • ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ไปยังเว็บไซต์ข่าวต่าง ๆ

3. Technical SEO

  • ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วและรองรับการใช้งานบนมือถือ
  • ปรับให้เว็บไซต์มีโครงสร้างที่เป็นระเบียบ (เช่น sitemap, breadcrumbs)
  • ตรวจสอบการทำงานของ robots.txt และ canonical tags
  • ใช้ HTTPS เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
  • แก้ไขลิงก์เสีย (broken links) และ redirect ที่ไม่จำเป็น
  • ทำให้เว็บไซต์รองรับการรวบรวมข้อมูลโดย Google (crawl & index) ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

SEM คืออะไร?

SEM หรือ Search Engine Marketing เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำผ่านการโฆษณาบนเครื่องมือค้นหา แม้บางคนจะเข้าใจว่า SEM หมายถึงแค่การโฆษณาแบบเสียเงิน แต่จริงๆ แล้ว SEO ก็เป็นส่วนหนึ่งของ SEM เช่นกัน

คุณอาจเคยสังเกตเห็นโฆษณาที่แสดงอยู่ด้านบนสุดของหน้าผลการค้นหา Google ซึ่งมักมีคำว่า “โฆษณา” นำหน้า นั่นคือผลจากการทำ SEM ถ้าคำค้นหาของผู้ใช้ตรงกับคำหลักที่คุณตั้งไว้ โฆษณาของคุณก็จะปรากฏขึ้น โดยคุณจะเสียค่าใช้จ่ายก็ต่อเมื่อมีคนคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์หรือโทรไปยังหมายเลขโทรศัพท์ที่ระบุไว้

ที่ Stars Commerce เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญที่สามารถออกแบบและจัดการโฆษณาแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ผ่านทุกช่องทางโซเชียล แต่รูปแบบที่ได้รับความนิยมและได้ผลดีที่สุดก็คือ Google Ads ซึ่งเป็นการโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC)

Pay-Per-Click คืออะไร?

เพื่อที่จะเข้าใจประสิทธิภาพของ PPC คุณต้องรู้ว่า การกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามข้อมูลประชากรและการตั้งค่าแบบละเอียด (hyper-targeting) ทำงานต่างกันอย่างไรระหว่าง SEO กับ SEM

ใน SEO คุณจะใช้คีย์เวิร์ดทั่วไปที่เกี่ยวกับธุรกิจและพื้นที่ เช่น “ร้านทำผมในกรุงเทพฯ” ซึ่งช่วยให้คุณดึงดูดลูกค้าในพื้นที่ได้ตรงกลุ่ม แต่ถ้าร้านทำผมมีบริการหลายอย่าง นี่คือจุดที่ PPC เข้ามามีบทบาท

ด้วย PPC คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดมากขึ้น ตามความสนใจและความต้องการของลูกค้า เช่น ที่อยู่อาศัย, ช่วงอายุ, เพศ, สถานะการเป็นผู้ปกครอง และระดับรายได้ โฆษณา PPC จะขึ้นเฉพาะกับคนที่ค้นหาคำที่คุณตั้งไว้และตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเท่านั้น และคุณจะเสียค่าใช้จ่ายก็ต่อเมื่อมีคนคลิกโฆษณาเท่านั้น

เพราะ PPC มีความสามารถตั้งกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำสูง ทาง Stars Commerce ซึ่งเป็นนักการตลาดดิจิทัล จึงให้บริการช่วยวางแผนและจัดการโฆษณาแบบนี้ด้วยเช่นกัน

แล้วควรเลือก SEO หรือ SEM?

แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันหลายอย่างระหว่าง SEO กับ SEM แต่ทางที่ได้ผลที่สุดในการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ คือการใช้กลยุทธ์ที่รวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน หากธุรกิจของคุณทำงานผ่านออนไลน์เป็นหลัก การวางแผน SEO และ SEM อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมแบบ organic traffic และช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับที่ดีกว่าในผลการค้นหา เทคนิค SEO จะเกี่ยวข้องกับการปรับเนื้อหา โครงสร้าง และส่วนเทคนิคของเว็บไซต์ เพื่อให้ถูกใจทั้งผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหา เช่น Google เป้าหมายหลักของ SEO คือทำให้เว็บไซต์ของคุณแสดงผลในหน้าค้นหาสำหรับคำค้นหรือวลีที่เกี่ยวข้อง

ส่วน SEM คือการใช้ทั้งกลยุทธ์แบบเสียเงินและแบบทั่วไป เพื่อเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณถูกมองเห็นในเครื่องมือค้นหา SEM ครอบคลุมการจ่ายเงินเพื่อโฆษณาหรือแสดงรายชื่อสปอนเซอร์บนหน้าผลลัพธ์ รวมถึงการใช้เทคนิค SEO เพื่อช่วยปรับอันดับในผลการค้นหาแบบแบบเสียค่าใช้จ่าย เป้าหมายหลักของ SEM คือการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ สร้างความรู้จักในแบรนด์ และเพิ่มโอกาสในการขาย

สรุป

SEO เป็นส่วนหนึ่งของ SEM ที่มุ่งเน้นปรับปรุงอันดับในผลการค้นหาแบบธรรมชาติ ส่วน SEM จะรวมทั้งกลยุทธ์แบบจ่ายเงินและแบบธรรมชาติ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณถูกมองเห็นมากขึ้นในเครื่องมือค้นหา

กลับไปยังบล็อก

แสดงความคิดเห็น

1 จาก 3

ติดต่อเรารับกลยุทธ์ทางการตลาดฟรี!